เครื่อง ขยายเสียงจะมีจุดต่อสัญญาณออก อยู่ด้านหลังของเครื่องฯ อาจมีหลายลักษณะ แต่ลักษณะหนึ่งที่นิยม ใช้จะเป็นลักษณะที่มี จำนวน โอห์ม มาให้เลือกต่อ เพื่อความเหมาะสม ระหว่างตัวลำโพงกับเครื่องขยายเสียง การต่อลำโพงอาจแบ่งเป็น 2 วิธี คือ การต่อลำโพงตัวเดียว และการต่อลำโพงหลายตัว
การต่อลำโพงตัวเดียว
การต่อลำโพง ตัวเดียวเป็นการต่อตรง เช่น ลำโพงมีค่าความต้านทาน 8 โอห์ม ก็ให้ต่อสายเส้นหนึ่งของลำโพงเข้ากับ 0 โอห์ม อีกเส้นต่อที่ 8 โอห์ม
การต่อลำโพงหลายตัวกับเครื่องขยายเสียงอาจกระทำได้ 3 วิธี คือ
การต่อแบบอนุกรม การต่อแบบขนาน และการต่อแบบผสม
ซึ่งการต่อแต่ละแบบมีความจำเป็นต้องรู้จักคิดคำนวณค่า
ความต้านทานกับพลังงานไฟฟ้าความถี่เสียงที่ออกมาจากเครื่องขยายเสียง
ดังนี้
1. การต่อแบบอนุกรม เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่หากมีลำโพงตัวหนึ่ง ตัวใดชำรุด
จะทำให้ลำโพง ทุกตัวเงียบหมด เนื่องจาก การตัดตัวเชื่อมต่อ ของวงอนุกรม นั่นเอง
สูตรในการคิดการต่อแบบอนุกรม คือ
การต่อโดยการนำเส้นหนึ่งของลำโพง ต่อที่ 0 โอห์ม อีกเส้นต่อที่ 32 โอห์ม
หากมีลำโพง 2 ตัว คือ 8 , 8 จะคำนวณได้
สูตรในการคิดการต่อแบบขนาน คือ
นำค่าของการต่อแบบอนุกรมมาคิดการต่อแบบขนานร่วมกับตัวที่เหลืออีกหนึ่งตัว
สูตรในการคิดการต่อแบบอนุกรม คือ
หากมีลำโพง 2 ตัว คือ 4 , 4 จะคำนวณได้
สูตรในการคิดการต่อแบบขนาน คือ
นำค่าของการต่อแบบอนุกรมมาคิดการต่อแบบขนานร่วมกับตัวที่เหลืออีกหนึ่งตัว
ดังนั้นหลังจากคิดคำนวณได้จะต่อโดยการนำเส้นหนึ่งของลำโพง ต่อที่ 0 โอห์ม อีกเส้นต่อที่ 4 โอห์ม นั่นเอง
คอมแพคดิสก์
ความหมาย
CD-ROM คือ วัสดุที่บันทึกข้อมูลทั้งที่เป็น ตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว เสียง ในรูปแบบของพลาสติกทรงกลมแบนราบ ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลต่างๆ ที่เก็บไว้อย่างมากมาย ไปเปิดใช้ได้อย่างสะดวก CD-ROM ย่อมาจาก “Compact Disc-Read Only Memory“
คุณสมบัติ
ิ
คุณสมบัติของ CD-ROM
ความจุข้อมูลมหาศาล ซึ่งสามารถเปรียบได้กับความจุของ หนังสือ 250,000 เล่ม ข้อความในกระดาษพิมพ์ดีด 300,000 แผ่น หนังสือสารานุกรม 1 ชุด จำนวน 24 เล่ม ภาพสี 5,000 ภาพ ข้อมูลในแผ่น Floppy disk 1.44 เมกกะไบต์ 460 แผ่น
บันทึกข้อมูลนานาประเภท
ตัวอักษร ภาพถ่ายสีและขาวดำ ภาพเคลื่อนไหว ภาพกราฟิก เสียงพูด เสียงดนตรี
การสืบค้นฉับไว
การค้นหาข้อมูลใช้ลักษณะ “เข้าถึงโดยสุ่ม” (random access) ทำให้สามารถค้นหาได้โดยใช้เวลาเพียง 1 วินาที
มาตรฐานสากล
CD-ROM มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ใช้กับหน่วยขับหรือเครื่องเล่น CD-ROM ทั่วๆ ไปได้เหมือนกัน
ราคาไม่แพง
การที่มีผู้นิยมใช้ CD-ROM มากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ราคาต่ำลงจนสามารถหาซื้อได้อย่างแพร่หลาย
อายุการใช้งานนาน
CD-ROM อาจอยู่ได้ตลอดไปโดยที่แผ่นจะไม่เกิดการเสียหาย แต่ก็มีบางคนกล่าวว่า น่าจะอยู่ได้เพียง 10-15 ปี เท่านั้น อาจเนื่องจากแผ่นต้องพบกับสภาพอากาศ ความสกปรก ความชื้น เป็นต้น
ความคงทนของข้อมูล
เป็นสื่อที่ไม่กระทบกระเทือนจากสนามแม่เหล็ก และยังไม่ติดไวรัส เนื่องจากเป็นวัสดุที่ไม่สามารถเขียนทับได้ ดังนั้นจึงทำให้ข้อมูลอยู่ได้ตลอดไปไม่เกิดความเสียหาย
ประหยัด
เมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุอื่น เช่นแผ่น Floppy disk เมื่อคิดโดยรวมแล้ว แผ่น CD-ROM 1 แผ่นสามารถบรรจุข้อมูลได้ประมาณ 460 แผ่น ดังนั้นเมื่อเทียบราคาแล้ว ทำให้ CD-ROM มีราคาที่ต่ำกว่าอย่างมาก
ความสะดวก
CD-ROM มีขนาดเล็ก ทั้งยังมีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถเคลื่อนย้ายไปใช้ในที่ต่างๆ ได้จึงทำให้เกิดความสะดวกในการนำไปใช้ในที่ต่างๆ
ชั้นและการทำงานของแต่ละชั้น
1. ชั้นป้องกันอันตราย (Protective Layer)
เป็นชั้นที่เคลือบด้วยอคริลิคแลคเกอร์เพื่อป้องกัน
ชั้นที่ทำหน้าที่สะท้อนข้อมูลไม่ให้มีรอยขีดข่วน
2. ชั้นสะท้อนแสง (Reflective Layer)
ฉาบด้วยทองหรือเงินที่สะท้อนลำแสงเลเซอร์กลับไปที่เซ็นเซอร์
ของเครื่องอ่านในซีดี
3. ชั้นสี (Dye Layer)
เลเซอร์ที่ทำหน้าที่เขียนบันทึกของซีดีจะเผารอยขีดที่เป็นข้อมูล
ให้เกิดเป็นสี ทำให้เกิดรอยขีดของข้อมูลแบบไม่โปร่งใสซึ่งจะดูด
ซับแสงที่ปกติแล้วเป็นแสงที่จะถูสะท้อนกลับไปที่เซ็นเซอร์
ของเครื่องอ่านในซีดี
4. ชั้นที่ทำหน้าที่นำทางแก่แสงเลเซอร์ (Clear Layer)
โพลีคาร์บอเนตชั้นล่างจะมีร่องขดเป็นวงกลมทำหน้าที่ช่วยนำทางแสงเลเซอร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น